Sunday, 2 April 2023

รีวิวหนัง "Babylon" จัดจ้าน 3 ชั่วโมงเน้น ๆ กับวงการบันเทิงฮอลลิวูดยุคบุกเบิก

มาถึงคิวของหนังที่อาจจะกล่าวว่า เป็นหนังที่เสียงค่อนข้างจะแตกอยู่ไม่น้อย ในกลุ่มหวังรางวัลในปีนี้ นี่คือ “Babylon” ผลงานปัจจุบันของผู้กำกับหนุ่ม “เดเมียน ชาเซลล์” (จาก La La Land) ที่มีจุดเด่นตรง ที่เป็นหนังพีเรียดย้อนยุค กลับไปเมื่อร้อยปีก่อน ซ้ำยังอัดแน่นด้วยเนื้องาน ที่เต็มตาถึง 3 ชั่วโมง เทียบเท่ากับหนัง Avatar ภาคล่าสุดอย่างยิ่ง แล้วตัวหนังมันมีข้อเด่นข้อด้อยตรงกันบ้าง และควรค่าแก่การนั่งแช่ ในโรงภาพยนต์นานขนาดนี้หรือเปล่า?

Babylon เป็นหนังพาย้อนกลับไปลอสแองเจลิส ในทศวรรษ 1920 เรื่องราวเกี่ยวกับความทะเยอทะยานเกินธรรมดา แล้วก็พฤติกรรมสุดเหวี่ยงเกินพิกัด แล้วก็ถ่ายทอดเรื่องราวยุครุ่งโรจน์ รวมทั้งการล่มสลายของหลากหลายตัวละคร ในช่วงยุคที่ความเสื่อมโทรม แล้วก็ความเลวทรามตอนฮอลลิวูดยุคบุกเบิกเริ่มต้น ที่เต็มไปด้วยแสงสีอันน่าคลั่งไคล้ และก็ภาพมายาที่ลวงหลอก

Babylon ย้อนยุค

Babylon นี่นับว่าเป็นชิ้นงานภูมิใจ เสนอของเดเมียน ชาเซลล์

เขาเลยแหละ เพราะเหตุว่าเขาพยายามปลุกปั้นอยู่หลายปี และก็ยังเป็นโปรเจกต์ หนังที่หลาย ๆ ค่ายต่างจับจ้องแย่งเอามาเป็นเจ้าของด้วย แน่นอน ว่าเขายังคงรับหน้าที่ดูแลงานกำกับ และเขียนบทหนังด้วยตัวเอง ซึ่ง Babylonก็ยังเต็มไปด้วยลายเซ็นชัด ๆ ในลีลาการทำหนังรูปแบบของเขา งานภาพ งานเสียง และเซ็ตติ้งต่าง ๆ ทำออกมาได้เป็นมืออาชีพ แล้วก็ระรัวใส่ผู้ชมเหมือนกับดีดดิ้นอยู่ ในปาร์ตี้ตลอดเวลา

ความยาวของหนังที่มีถึง 3 ชั่วโมง 9 นาที ของ Babylonนั้น มิได้เป็นอุปสรรคใด ๆเลย จะต้องขอบคุณที่หนังมีจังหวะ การเล่าเรื่องที่บันเทิงและก็สนุกสนานไปได้ด้วยดี มาเอื้อนเอ่ยถึงจุดที่น่าชมเชยกันก่อน งานดีไซน์โปรดักชั่นเรื่องนี้ ต้องยกนิ้วให้ เปรียบเทียบสเกลก็แทบจะเป็นหนังฟอร์มใหญ่ ระดับทุนร้อยล้านขึ้นไปได้เลย

ด้วยความที่หนังมีรายละเอียดต่าง ๆ ในหนังเพียบ งานโปรดักชั่นส่วนใหญ่ที่จะต้องเก็บรายละเอียดของยุคสมัยในช่วงยุคปี 1920s พร้อมด้วยไล่ไทม์ไลน์ไปตามยุค การออกแบบฉากรวมทั้งศิลป์ต่าง ๆ ของ Babylonทำออกมาได้ค่อนข้างจะน่าพอใจ สิ่งที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้ผู้ชมละสายตา ไปกับแวดล้อมในหนังมิได้เลย ถึงแม้จังหวะลีลาของหนังจะฉับไว จนกระทั่งบางครั้งแทบจะมองไม่ทันบ้างก็ตาม แต่องค์ประกอบส่วนนี้ถือว่าโดดเด่นดี

หนังที่น่าดู

อีกสิ่งที่จะต้องตบมือให้ดัง ๆ ก็คืองานดนตรีประกอบภาพยนตร์

ที่โดยเจ้าเดิม “จัสสิต เฮอร์วิตซ์” ที่เคยทำเพลงให้กับ La La Land มาบรรเลงและก็จุดประกายไฟอันเร่าร้อนให้กับซาวน์หนังเรื่องนี้ ที่หลัง ๆ ยังคงใส่ท่วงทำนอง เครื่องเป่าสไตล์แจ๊สเอาไว้ ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์เช่นเคย ถ้าหากเป็นแฟนนักประพันธ์ท่านนี้

ก็จะสัมผัสได้ถึงลายเซ็น ในชิ้นงานของเขาได้ดี แล้วก็เพลงประกอบต่าง ๆ ก็ดูส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งปาร์ตี้ อีกทั้งโศกนากฏกรรม ที่นับว่ามอบซาวน์รสเลิศ ที่แสนจัดจ้าน

ในเวลาที่ส่วนประกอบเสื้อผ้าหน้าผม รวมทั้งการแต่งหน้าของ Babylonเรื่องนี้ ที่จัดว่าก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี เพียงแต่ว่ายังมิได้โดดเด่น เป็นที่สุดมากสักเท่าไรนัก

เนื่องจากความละเอียดในเรื่องชุดรวมทั้งการออกแบบให้กับตัวละคนในหนังนั้น ยังแอบสัมผัสได้ถึงความร่วมยุคอยู่เบา ๆ ไม่ได้เน้นเก็บความเฉพาะของยุค ตามเส้นเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ยังโชคดีที่จุดนี้ ถูกมองข้ามไป ด้วยเหตุว่างานโปรดักชั่นดีไซน์ ที่ตื่นตาและตรึงใจได้ดี

ส่วนบทหนังรวมทั้งการเล่าเรื่องของ Babylon อาจจะต้องสารภาพตรง ๆ ว่ายังไม่ค่อยน่าประทับใจถึงที่สุดนัก อาจจะเนื่องจากว่าเป็นว่ารายละเอียด ที่ถูกใส่มาเยอะ แล้วก็แน่นเกินไป แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงเจตนารมณ์ รวมทั้งจุดประสงค์ของ เดเมียน ชาเซลล์ ที่อยากได้คาระความคลาสสิก และต้นตำหรับ ของจุดกำเนิดแวดวงภาพยนตร์ฮอลลิวูด สิ่งที่เขาอยากจะสื่อสารออกมานั้น ถือว่าชัดเจน เพียงแต่ว่าเนื้อหา ที่นำมาละเลงในหนังเรื่องนี้ ค่อนข้างจะแน่นไปเสียหน่อย แม้ว่าจะยังรู้สึกชอบ แต่ว่าก็ไม่รู้ว่า จะโฟกัสตรงไหนก่อนดี

หนัง3ชม.

ความจริงค่อนข้างรู้สึกขนลุก ไปกับบทสรุปในช่วงท้ายของหนัง

ที่เป็นการสรรเสริญความเป็น Cinematic ที่สืบทอดกันมานับร้อยปี ของแวดวงนี้ เพียงก็แอบทราบเหมือนว่าผู้ผลิตหาจุดลง ที่งดงามได้ไม่พบ ฉากสรุปท้ายเรื่องของหนังเรื่องนี้ จึงมีทั้งอารมณ์ตื้นตัน แล้วก็มึนงงไปพร้อม ๆ กัน เพราะว่าไม่คิดว่า จะเลือกทางลงให้กับแบบนี้ ทั้งที่น่าจะมีสักทาง ที่จบได้คมคาย และสวยงามมากยิ่งกว่านี้

ทางด้านการแสดงของทีมนักแสดง ก็จัดว่าพวกเขาทำออกมาได้ดี ตามมาตรฐานเลย “แบรด พิตต์” ที่พระเอกที่มาช่วยประคองทั้งเรื่องเอาไว้ ได้ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา “มาร์โกต์ ร็อบบี้” ใส่เสน่ห์ไปเต็ม ๆกับบทที่เธอได้รับ รวมทั้งยังเล่นไปสุดทางกับตัวละครนี้

ถึงแม้ว่าอาจจะดูเป็นบทซ้ำ ๆ ไปหน่อย ในเวลาที่ “ดิเอโก คัลวา” เป็นหนุ่มหล่อลาตินหน้าใหม่ ที่นับว่าโปรยเสน่ห์ และเข้ากับบท ที่ได้รับอย่างดี ถึงการแสดงของเขายังต้องลับคมไปอีก

สรุปว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น ก็แอบรู้สึกก้ำ ๆ กึ้ง ๆ กับหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ว่าอาจจะเอนเอียง ไปในทิศทางที่ค่อนข้างจะชอบมากยิ่งกว่า ด้วยส่วนประกอบของงานสร้างที่จัดจ้าน รวมทั้งบันเทิงได้ลึกซึ้ง

แม้ว่ายังมีบางองค์ประกอบ ที่ยังไม่ประทับใจถึงที่สุด และก็รู้สึกว่าคงจะทำได้ดีกว่านี้ได้อยู่ก็ตาม แต่ว่านี่ก็คือหนัง ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่จัดจ้านตลอด 3 ชั่วโมง ที่อัดแน่น ด้วยความเนื้อใน ที่เต็มน้ำเต็มเนื้อ บางทีก็แทบล้นทะลักออกมา

Babylon บางทีอาจจะไม่ใช่หนังที่ทำออกมา ได้เหมาะสมกับผู้ชมทุกกลุ่ม ด้วยความยาวมาก ๆ ที่ไม่ใช่ผู้ชมหนังยุคนี้ จะหาเปิดดูกันแน่ๆ แต่ว่าหนังก็เด่นดีที่งานสร้าง ยิ่งถ้าเกิดเป็นผู้ที่ให้ความสนใจ และคลุกคลีอยู่กับแวดวงสายหนังด้วยแรง หนังเรื่องนี้ เป็นการสดุดีแวดวงภาพยนตร์รสเลิศเรื่องหนึ่ง ย้อนกลับไปถวิลยุคเก่า ๆ ที่แทบลืมกันไปหมดแล้ว ถึงแม้การร้อยเรียงจะยังไม่คมคาย ถึงที่สุดนัก แต่รวม ๆ ก็นับว่าจัดจ้านใช้ได้ ด้วยความดีความชอบจากงานสร้างล้วน ๆ เลย